ความรู้ทางด่าน IT

  ผมขอแนะนำ Harddisk ของ Samsung S2 ขนาด 320 GB แถมสาย USB , ซองใส่ Harddisk




i pad 2





ท่ามกลางข่าวลือมากมายเกี่ยวกับ “iPad 2” แท็บเล็ตรุ่นใหม่ในตระกูล iPad ของแอปเปิลที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าแอปเปิลจะใช้ชื่อใดในการทำตลาด ล่าสุดนักวิเคราะห์จากบริษัท Gleacher & Company ประกาศว่าได้รับข้อมูลวงในที่ชี้ว่าแอปเปิลจะเปิดตัว iPad รุ่น 2 ได้ในเดือนเมษายน 2011 หรืออีกประมาณ 5 เดือนข้างหน้า

       การคาดการณ์นี้เป็นของไบรอัน มาร์แชล (Brian Marshall) นักวิเคราะห์ของบริษัท Gleacher & Company ซึ่งให้สัมภาษณ์ต่อนิยสาร Computerworld จนกลายเป็นข่าวทั่วอินเทอร์เน็ต เพราะความเห็นครั้งนี้สวนทางกับรายงานข่าวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสื่อออนไลน์ในช่วงเวลานั้นเชื่อว่าแอปเปิลจะแจ้งเกิด iPad 2 เพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปีนี้

       อย่างไรก็ตาม ความเห็นของมาร์แชลกลับสอดคล้องกับรายงานล่าสุดจากสำนัก Digitimes ที่เชื่อว่า iPad 2 จะยังไม่ถึงกำหนดคลอดในปีนี้ โดยระบุว่าบริษัทซัปพลายเออร์ 3 รายใหญ่ Ibiden, Tripod และ TTM นั้นเพิ่งได้รับใบรับรองจากแอปเปิลในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อให้เริ่มเปิดสายพานการผลิตแผงวงจร HDI สำหรับจัดส่งภายในเดือนธันวาคมนี้ แต่จะเป็นการผลิตชิ้นส่วนแผงวงจรที่ยังมีจำนวนไม่มาก ทำให้เชื่อว่า iPad2 จะผลิตไม่ทันปลายปีแน่นอน

       Digitimes ยังอ้างแหล่งข่าววงในอีกว่า แอปเปิลมีแผนเพิ่มสายการผลิตในโรงงานเพิ่มอีก 4 แห่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า นี่คือสัญญาณที่ชี้ว่าแอปเปิลกำลังเตรียมพร้อมเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์เต็มรูปแบบในไตรมาสแรกปีหน้า ซึ่งเมื่อคำนวณร่วมกับข่าวลือเรื่องการผลิตหน้าจอที่เชื่อกันว่าเป็นส่วนประกอบของ iPad รุ่นใหม่ ก็จะเป็นไปในกรอบเวลาที่สอดคล้องกัน

       สำหรับคุณสมบัติใหม่ใน iPad2 เชื่อกันว่าจะเป็นการใส่กล้องดิจิตอลด้านหน้าและหลังสไตล์เดียวกับ iPhone 4 เพื่อให้ผู้ใช้ iPad 2 สามารถสื่อสารผ่านวิดีโอได้บนโปรแกรม Facetime ขณะเดียวกัน หลายเสียงเชื่อว่าแอปเปิลจะเพิ่มเซ็นเซอร์ gyroscopic มาให้คอเกมสามารถเล่นเกมได้หลายหลายบนความสามารถในการตรวจจับความเคลื่อนไหวของเครื่องได้อย่างอัจฉริยะยิ่งขึ้น รวมถึงกระแสข่าวว่าแอปเปิลอาจจะเปลี่ยนใจมาใช้พอร์ต mini-USB แทนพอร์ตเชื่อมต่อแบบเข็ม 30-pin ที่แอปเปิลใช้กับ iPad รุ่นแรก บนน้ำหนักเครื่องที่คาดว่าจะเบาบางยิ่งขึ้น



ร้านอาหารที่ต่างประเทศ ได้ใช้ ipad มาเป็นเมนูที่เรียบร้อยแล้ว




     ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะไปทานอาหารในร้านอาหารแล้วมี อุปกรณ์ Palm ต่างๆคอยให้บริการเราเวลาสั่งอาหาร  แต่ก็ถือว่าแปลกอยู่เหมือนกัน ถ้าอุปกรณ์เหล่านั้น เป็น iPad ที่ให้เราเลือกเมนูได้จากหน้าจอ เมื่อติดตั้งไว้ที่โต๊ะยังดูเป็นของประดับหรูหราเพิ่มความสวยงามและบรรยากาศได้อีกด้วย
     เหตุเกิดขึ้นที่ในสนามบิน JFK ที่ Delta Terminal ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ณ ร้านอาหาร Croque Madame , ร้านอาหารฝรั่งเศสที่อยู่ในอาคาร, ร้านอาหารอิตาเลียนต่างๆ, บาร์ Brace ที่ตั้งอยู่ใน Teminal นั้น ต่างใช้ iPad สั่งเมนู โดยให้บริการที่รวดเร็วไม่ต้องเดินรับออเดอร์ลูกค้า  อีกทั้งลูกค้ายังสามารถใช้ iPad นั้นเช็คเมล์ หรือนำมาเล่นฆ่าเวลาได้อีกด้วยแต่ลงทุนเยอะเกินไปรึเปล่าครับ ใช้ iPad สั่งอาหารเลย  เมื่อไหร่จะได้ทุนคืนล่ะเนี่ย แต่ก็สุดหรูจริงๆเลยนะ อยากไปลองใช้บริการมั่งจัง อิอิ








อชพีผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐาน IEEE ใหม่ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เอชพีร่วมคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อออกแบบอุปกรณ์ไอทีที่ประหยัดไฟและช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานให้กับลูกค้า

สำหรับ มาตรฐาน IEEE (IEEE 802.3az) ใหม่ ส่งผลให้อุปกรณ์ไอทีกินไฟน้อยลง โดยปรับการใช้ไฟให้เป็นไปตามสภาพการทำงานจริงของระบบการสัญจรของข้อมูลบนเครือข่ายระหว่างอุปกรณ์สวิตช์และอุปกรณ์เครือข่ายอื่นๆ แบบเรียลไทม์โดยอัตโนมัติ อุปกรณ์สวิตช์ HP E-Series zl modules ใหม่เป็นอุปกรณ์สวิตช์รุ่นแรกที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐาน IEEEใหม่ โดยจะปรับเข้าสู่โหมด “sleep” เพื่อหยุดพักการทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อไม่มีการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายเอชพีมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอทีตรงตามมาตรฐาน IEEEฃ






ซัมซุงคว้า 6 รางวัลการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Design) ในงานมหกรรมแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อผู้บริโภคนานาชาติ ICES 2011  ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงต้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมา

       
       เริ่มจาก จอแอลอีดีสามมิติ 2-Sided Edge-Lit ขนาด 55 นิ้ว แบบใช้แว่น Shutter Glasses ความหนาเพียง 10.8 มิลลิเมตร พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ในการหรี่แสงเฉพาะส่วน ซึ่งช่วยให้ประหยัดพลังงานลงได้มากถึง 52% เมื่อเทียบกับหน้าจอ CCFL แอลซีดีแบบเดิมที่มีขนาดเท่ากัน โดยหน้าจอแบบ Edge-Lit ใช้ไดโอดเปล่งแสง (LEDs)ที่ขอบด้านซ้ายและขวาของจอแสดงผลเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงชนิดเดียว หน้าจอรุ่นนี้ยังผ่านเกณฑ์ของ RoHS และไม่มีส่วนประกอบของพีวีซี สารอาร์เซนิก และสารปรอทที่ทำลายสิ่งแวดล้อม
       
       หน่วยความจำ Green DDR3 RDIMM ความจุ 32 กิกะไบต์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหน่วยความจำเครื่องแรกของโลกที่สามารถตอบโจทย์ในการรักษาสิ่งแวดล้อมสุดๆ ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 83% เมื่อเทียบกับหน่วยความจำแบบโมดูล DDR2 ที่ใช้กันโดยทั่วไปผลิตภัณฑ์นี้เป็นแบบโมดูลที่มีความหนาแน่นสูงสุดในตลาด ใช้ชิป 36 Dual-Die 40 Nanometer-Class 4Gb DDR3 ช่วยให้หน่วยความจำแบบ RDIMM ขนาดความจุ 32GB ทำงานได้ด้วยความเร็วสูงสุด 1,066 Mbps
       
       ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ รุ่น F4EG สำหรับเดสก์ท็อป คอมพิวเตอร์ มีความหนาแน่นในการจุข้อมูลสูงที่สุดในโลกถึง 2 เทราไบต์ (TB) โดยแบ่งเป็นความจุ 667 GB ในแต่ละดิสก์จำนวนทั้งหมด 3 ดิสก์ สามารถเก็บวิดีโอในรูปแบบดีวีดีความยาวรวมสูงสุด 880 ชั่วโมง หรือเก็บเพลงแบบ MP3 ได้ถึง 500,000 เพลง ลดการเกิดเสียงและความร้อนในระหว่างการทำงาน ลดการใช้พลังงานขณะอยู่ในโหมดสแตนด์บายลงได้อีก 23% เมื่อเทียบกับไดรฟ์รุ่นก่อนที่เป็นแบบ 4 ดิสก์
       
       เครื่องซักผ้าซัมซุงแบบฝาหน้า รุ่น WF520 ขนาดฝาหน้าใหญ่ที่สุด สามารถบรรจุเสื้อผ้าที่ซักล้างต่อครั้งได้เป็นจำนวนมาก ประหยัดพลังงานน้ำ ไฟฟ้า เวลา และค่าใช้จ่าย ที่สำคัญเสียงรบกวนน้อยที่สุดด้วยเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนตลอดการทำงาน(Vibration Reduction Technology)
       
       เตาอบอาหาร รุ่น Flex FE710DRS (TM) ประเภทฟรีสแตนดิ่ง ขนาด 30 นิ้วเครื่องแรกของโลกที่ถูกออกแบบมาให้สามารถรวมช่องประกอบอาหาร หรือแยกช่องประกอบอาหารเป็น 2 ช่องในเวลาเดียวกัน พร้อมระบบทำความสะอาดแบบไอน้ำที่ใช้เวลารวดเร็ว โดยใช้ความร้อนน้อยกว่าเตาอบทั่วไป ประหยัดทั้งเวลาและพลังงานไปในเวลาเดียวกัน
       
       จอมอนิเตอร์ รุ่น ซิงค์มาสเตอร์ SA550แบบ LED-Backlit ขนาด 27 นิ้ว ( LED-backlit LCD monitor) รุ่นแรกของโลกที่รวมเอาเทคโนโลยีตรวจจับความเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียวเพื่อการประหยัดพลังงานในระหว่างการแสดงภาพ
       







 ท่ามกลางกระแสตื่นตัวเรื่องกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลออนไลน์จะเปลี่ยนตัวซีอีโอจากอีริค ชมิดต์ มาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งอย่างแลร์รี เพจ ล่าสุดมีการรายงานชมิดต์กำลังเตรียมการขายหุ้นกูเกิล 534,000 หุ้นในปีหน้าซึ่งจะมีมูลค่ารวม 335 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 10,050 ล้านบาท) คิดเป็น 6% ของกลุ่มหุ้นกูเกิลที่ชมิดต์ถือครองอยู่ 
       
       แผนการขายหุ้นของชมิดต์ซึ่งจะดำรงตำแหน่งซีอีโอกูเกิลถึงเดือนเมษายน 2554 ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเพราะการทำเรื่องขออนุญาตกับคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯหรือ SEC (Securities and Exchange Commission) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยข้อมูลที่ SEC ได้รับนั้นระบุว่าชมิดต์มีหุ้นกูเกิลในมือราว 9.2 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.9% ของหุ้นรวมกูเกิล และหุ้นในกลุ่ม Class B ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นเพื่อการออกเสียงตัดสินใจที่สงวนไว้สำหรับ 3 ทหารเสือกูเกิลอีก 9.6%
       
       เมื่อคำนวณมูลค่าหุ้นปัจจุบันของกูเกิลที่มีมูลค่าหุ้นละ 626.77 เหรียญสหรัฐ จะพบว่าชมิดต์มีหุ้นกูเกิลในครอบครองเป็นมูลค่า 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะนี้
       
       กูเกิลให้เหตุผลแก่ SEC ว่าการขายหุ้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดการทรัพย์สินส่วนตัวของชมิดต์เอง โดยแผนการขายหุ้นมากกว่า 5 แสนหุ้นนี้จะทยอยดำเนินการภายใน 1 ปีเพื่อลดผลกระทบในตลาด ซึ่งจะช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนได้
       
       ท่าทีของนักลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองว่าจะส่งผลอย่างไรต่อกูเกิล หลังจากที่กูเกิลประกาศเปลี่ยนตัวซีอีโอใหม่เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา โดยแลร์รี เพจ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานกรรมการบริหารหรือซีอีโอของกูเกิล แทนที่ชมิดต์ซึ่งอยู่ในตำแหน่งนี้มานาน 10 ปีตั้งแต่สิงหาคม 2001 ขณะที่ชมิดต์จะดำรงตำแหน่งประธานบริหาร (Executive Chairman) ซึ่งจะดูแลภาพรวมธุรกิจ การทำสัญญาข้อตกลง พันธมิตร และการเข้าถึงลูกค้าภาครัฐ พร้อมกับจะยังเป็นที่ปรึกษาให้แก่แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บรินต่อไป
       
       การผลัดใบซีอีโอของกูเกิลในครั้งนี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับการรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ว่าผู้ก่อตั้งกูเกิลทั้ง 2 รายและชมิดต์ได้ตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการว่าจะร่วมกันเป็นมันสมองให้กูเกิลต่อไปจนถึงปี 2024 เป็นอย่างน้อย ทำให้การเปลี่ยนแปลงตัวซีอีโอที่เกิดขึ้นนั้นเร็วกว่ากำหนดถึง 14 ปี
       
       นอกจากนี้ แผนการขายหุ้นของชมิดต์ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเตรียมขายหุ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 โดยหลังการขายหุ้น ชมิดต์จะมีหุ้นเหลือในมือทั้งสิ้น 8.7 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.7% ของหุ้นรวมกูเกิล และหุ้นในกลุ่ม Class B ประมาณ 9.1%
       
       ในเบื้องต้น นักลงทุนตอบรับการผลัดใบซีอีโอนี้ในแง่ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพจนั้นเป็นผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งซีอีโอคนแรกของกูเกิลในช่วงก่อตั้ง (ปี 1998 ถึงปี 2001) และมีบทบาทสูงในการบริหารกูเกิล ขณะเดียวกัน กูเกิลได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2010 ว่าสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 2,540 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจาก 1,970 ล้านเหรียญในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า บนรายได้รวม 8,440 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นราว 26%
       
       ทั้งหมดนี้ทำให้มูลค่าหุ้นของกูเกิลเพิ่มขึ้นอีก 2% เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา









"อินเทล" ส่งโปรเซสเซอร์ "คอร์ เจเนอเรชั่นที่ 2" รับเทรนด์ผู้บริโภคเน้นใช้งานพีซี-โน้ตบุ๊กเพื่อความบันเทิงมากขึ้น ทำนายไม่เกิน 3 ปีคอนเทนต์บนอินเทอร์เน็ต 90% จะเป็นภาพเคลื่อนไหว ชูจุดเด่นช่วยหน่วยประมวลผลกราฟิกไฟล์วิดีโอได้เร็วขึ้น





นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มพฤติกรรมการใช้งานคอมพิวเตอร์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยไม่ได้เน้นเพื่อการทำงานอย่างเดียว แต่จะเน้นในเรื่องความบันเทิง มากขึ้น ทำให้คอมพิวเตอร์กลายเป็น เพอร์ซันนอลมีเดียแมชีน (พีเอ็มเอ็ม)


"ผู้บริโภคต้องการคอมพิวเตอร์สำหรับสร้างไฟล์ภาพ หรือแชร์ไฟล์วิดีโอได้ดีกว่าเดิม รวมทั้งต้องการความสามารถในการเล่นเกมมากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมการดูภาพยนตร์บนเครื่องพีซีและโน้ตบุ๊กก็มีแนวโน้มสูงกว่าเดิม"


นายเอกรัศมิ์กล่าวว่า ปัจจุบันยอดขายพีซีตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊กทั่วโลกอยู่ที่ปีละประมาณ 400 ล้านเครื่อง เฉลี่ยยอดขายวันละประมาณ 1 ล้านเครื่อง และมีคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกถึง 2,000 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของประชากรโลก และยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คาดว่าไม่เกิน ปี 2014 เนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตกว่า 90% จะกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว และจะเต็มไปด้วยเนื้อหาแบบวิดีโอภาพ


"แนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเป็นทั้งผู้ใช้งานและผู้ผลิตสื่อด้วยตัวเองมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ที่ว่านี้ดูได้จากเว็บไซต์ยูทูบซึ่งมีจำนวนคนเข้าชมไฟล์วิดีโอกว่า 12,000 ล้านคลิปต่อเดือน และมีคนสร้างไฟล์วิดีโอด้วยตัวเองกว่า 20 ล้านคลิปต่อเดือน นอกจากนี้ทางเน็ตฟลิก (บริษัทให้บริการภาพยนตร์หรือโปรแกรมโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ตในสหรัฐและแคนาดา) ก็มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นมาก" นายเอกรัศมิ์กล่าวและว่า


จากแนวโน้มการใช้งานทางด้านสื่อวิดีโอที่จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้อินเทลได้เปิดตัว "คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชั่น 2" จำนวน 29 รุ่นที่มีจุดเด่นด้านหน่วยประมวลผลภาพและกราฟิกอยู่ในตัวเอง ช่วยให้การสร้างหรือแปลงไฟล์วิดีโอสะดวกรวดเร็วกว่าเดิม เพื่อออกมารองรับกับพฤติกรรมการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไป






แม้ปีที่แล้วไมโครซอฟท์จะเสียตำแหน่งแชมป์การเป็นบริษัทเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกไปให้แก่แอปเปิล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายักษ์ใหญ่รายนี้ยังคงเป็นมหาอำนาจที่พร้อมจะสั่นคลอนวงการไอทีได้ทุกเมื่ออยู่ดี 

     ขณะที่ยอดขายอุปกรณ์เสริมสำหรับเล่นเกมเอ็กซ์บ็อกซ์อย่าง "ไคเน็กต์" (Kinect) ทำยอดขายวิ่งฉิว แต่ในตลาดสมาร์ทโฟนกำลังเป็นเค้กชิ้นโต ที่ไม่เพียงผู้ผลิตมือถือต่างเข้ามาช่วงชิง แต่ในกลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายราย ก็โดดเข้ามาร่วมวง แต่ยังมีคำถามว่าไมโครซอฟท์จะพลิกสถานการณ์วิ่งไล่ล่าแย่งส่วนแบ่งตลาดจากไอโฟนของแอปเปิล หรือผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ที่กำลังกวาดยอดขายถล่มทลายอย่างไร 
     เว็บไซต์ยูเอสเอทูเดย์ได้สัมภาษณ์ "สตีฟ บัลเมอร์" ซีอีโอไมโครซอฟท์ กล่าวว่า ตลาดสมาร์ทโฟนมีคู่แข่งในตลาดจำนวนมาก แต่ไมโครซอฟท์ก็มีสมาร์ทโฟนที่ดูดีที่สุดในตลาดเช่นกัน เป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค ทั้งในแง่รูปลักษณ์ภายนอก, ซอฟต์แวร์ ซึ่ง เชื่อว่าดีเท่า หรืออาจจะเหนือกว่าทุกแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ แม้ว่าไมโครซอฟท์จะต้องลงแรงอีกมาก แต่ขณะนี้เราก็เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้เล่นของตลาดนี้แล้ว
     อย่างไรก็ตาม การที่ไมโครซอฟท์จะทำให้แบรนด์ของตัวเองเปลี่ยนใจ หรือเปลี่ยนมุมมองผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่กลายเป็นสาวกของแอปเปิล และชื่นชอบกับแอนดรอยด์ของกูเกิลแล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนส่วนใหญ่เปลี่ยนพฤติกรรมจากที่เคยทำทุกอย่างบนคอมพิวเตอร์พีซี มาเป็นทำทุกอย่างบนอุปกรณ์พกพา และเครือข่ายไร้สาย โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน 
ซึ่งยังมีคำถามว่า วินโดวส์ โฟน 7 จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้หรือไม่

     "คนทั่วไปจะเริ่มทำสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม ผ่านช่องทางใหม่ ๆ ขณะเดียวกัน พวกเขาจะไม่ทำงานทั้งหมดบนสมาร์ทโฟน แต่จะเน้นการใช้เพื่อ การอ่าน และส่งโน้ตข้อความด่วน ผ่านอุปกรณ์พกพาที่อยู่ในกระเป๋า" ซีอีโอไมโครซอฟท์กล่าวและว่า

     หัวใจสำคัญ คือต้องเข้าใจว่าพวกเขาต้องการรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย และไม่ต้องการให้มีข้อจำกัดใด ๆ กับสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำ ไม่ว่าพวกเขาจะมีอุปกรณ์พกติดกระเป๋าไว้เพื่อจุดประสงค์การใช้งานเฉพาะ หรืออุปกรณ์ตั้งโต๊ะเพื่อใช้งานทั่วไป

    อย่างไรก็ตาม บัลเมอร์กล่าวว่า ปรากฏการณ์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่เคลื่อนตัวจากคอมพิวเตอร์พีซี ไปสู่โซเชียลเน็ตเวิร์ก และต่อยอดไปสู่การใช้อุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟน ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย "เรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป และพวกเราก็ยังไปไม่ถึงตามเป้าที่ผมคาดหวังเอาไว้ ผมอยู่กับไมโครซอฟต์มากว่า 30 ปีแล้ว และนี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น เมื่อเทคโนโลยีต้องปรับตัวเอง"

    เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานของผู้บริโภค และการปรับตัวของเทคโนโลยี เพื่อสร้างความต้องการใหม่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ 

นอกจากนี้ บัลเมอร์กล่าวถึงนโยบายของไมโครซอฟท์ว่ายังคงทุ่มเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ทั้งการเดิมพันกับเทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีที่รองรับงานด้านองค์กร ซึ่งเชื่อว่าจะมีสิ่งที่อัศจรรย์เกิดขึ้นสำหรับตลาดแน่ รวมทั้งการทุ่มเทกับตลาดเครื่องเล่นเกมเอ็กซ์บ็อกซ์ ด้วยการออกอุปกรณ์ไคเน็กซ์ รวมถึงเสิร์ชเอ็นจิ้น "บิง" ซึ่งตอนนี้กำลังพยายามหว่านเมล็ดพันธุ์ ให้งอกเงย 

     สำหรับการรุกเข้าสู่โซเชียลเน็ตเวิร์กของไมโครซอฟท์ บัลเมอร์กล่าวว่า ไมโครซอฟท์มีความสัมพันธ์และเป็นพันธมิตรที่ดีเยี่ยมกับเฟซบุ๊ก จากการที่บริการของบิงเริ่มปรากฏให้เห็นในเฟซบุ๊กมากขึ้น เพราะบิงจะช่วยให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กเห็นว่าบรรดาเพื่อนของคุณชอบอะไรและไม่ชอบอะไรบ้าง ในระหว่างที่ท่องอินเทอร์เน็ต รวมทั้งการออนไลน์ผ่านเครือข่ายเอ็กซ์บ็อกซ์ไลฟ์ ด้วยการเล่นเกมกับเพื่อน ๆ นั่นก็หมายความว่าเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่ตัวหนึ่งเหมือนกัน

     นอกจากนี้ บัลเมอร์ยังให้มุมมองถึงกระแสด้านเทคโนโลยีที่สำคัญในปี 2011-2012 ว่า บทบาทสำคัญจะโฟกัสอยู่ 2 เรื่อง คือการตอบสนองการใช้งานที่เป็นธรรมชาติ (natural user interface) หมายถึงเรื่องการใช้เสียง, สัมผัส, การจดจำภาพ เพื่อตอบสนองการใช้งาน ซึ่งจะเห็นฟังก์ชั่นเหล่านี้ได้ทั้งเครื่องเล่นไคเน็กต์ ในสมาร์ทโฟน แท็บเลต และคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเหล่านี้มากเป็นพิเศษ และเทคโนโลยีที่สอง ก็คือคลาวด์ (cloud) (เป็นเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลผ่าน อินเทอร์เน็ต แทนที่จะมีเซิร์ฟเวอร์เก็บข้อมูลของบริษัทเอง) ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่ายังมีอีกหลายอย่างที่เราสามารถทำได้ เพราะอินเทอร์เน็ตไม่ใช่แค่สถานที่สำหรับเผยแพร่ข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสถานที่ช่วยสนับสนุนการประมวลผลคอมพิวเตอร์แบบสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการทำงานธุรกิจ หรือการสังสรรค์ติดต่อกันในกลุ่มเพื่อน

ที่มา : http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02com04240154&sectionid=0209&day=2011-01-24







มีบทความหลายบทความที่เขียนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง hacker และ cracker 
ผู้เขียนมักจะ พยายามที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดสาธารณชน 
บทนี้จะช่วยให้ประเด็นนี้มีความกระจ่างยิ่งขึ้น 
หลายปีมาแล้วที่สื่อของอเมริกันนำความหมายของคำว่า hacker ไปใช้ผิด 
แทนที่ความหมายของ คำว่า cracker ดังนั้นสาธารณชนชาวอเมริกันจึงเข้าใจว่า 
hacker คือคนที่บุกรุกเข้าไปในระบบ คอมพิวเตอร์ 
ซึ่งไม่ถูกต้องและเป็นผลเสียต่อ hacker ที่มีความสามารถพิเศษ 
มีบททดสอบดั้งเดิมที่ตัดสินความแตกต่างระหว่าง hacker และ cracker 
อันดับแรกจะ เสนอถึงคำจำกัดความ ดังต่อไปนี้


Hacker 
หมายถึงผู้ที่มีความสนใจอย่างแรงกล้าในการทำงานอันลึกลับซับซัอนของการทำงาน 
ของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ใด ๆ ก็ตาม ส่วนมากแล้ว hacker จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้น hacker 
จึงได้รับความรู้ขั้นสูงเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการและprogramming languages 
พวกเขาอาจรู้จุดอ่อนภายในระบบและที่มาของจุดอ่อนนั้น hacker 
ยังคงค้นหาความรู้เพิ่มเติม อย่างต่อเนื่อง แบ่งปันความรู้ที่พวกเขาค้นพบ 
และไม่เคยคิดทำลายข้อมูลโดยมีเจตนา


Cracker 
คือบุคคลที่บุกรุกหรือรบกวนระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล 
ด้วยเจตนาร้าย cracker เมื่อบุกรุกเข้าสู่ระบบ จะทำลายข้อมูลที่สำคัญ 
ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ หรืออย่าง น้อย 
ทำให้เกิดปัญหาในระบบคอมพิวเตอร์ของเป้าหมาย โดยกระทำของ cracker 
มีเจตนามุ่งร้ายเป็นสำคัญ คำจำกัดความเหล่านี้ถูกต้องและอาจใช้โดยทั่วไปได้ 
อย่างไรก็ตามยังมีบททดสอบอื่นอีก เป็นบททดสอบทางกฏหมาย 
โดยการใช้เหตุผลทางกฏหมายเข้ามาใช้ในสมการ คุณสามารถแยกความแตกต่างระหว่าง 
hacker และ cracker บททดสอบนี้ไม่ต้องการความรู้ทางกฏหมายเพิ่มเติมแต่อย่าง 
ใด มันถูกนำมาใช้ง่าย ๆ โดยการสืบสวนเช่นเดียวกับ "Men rea"


Mens Rea 
Men rea เป็นภาษาลาตินที่อ้างถึงเจตนาที่มีความผิด 
ใช้อธิบายถึงสภาวะจิตใจที่ตั้งใจก่ออาชญากรรม นำคำว่า mens rea 
มาปรับใช้กับ สมการ hacker-cracker ถ้าผู้ต้องสงสัยสามารถเข้าไปในระบบ 
คอมพิวเตอร์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นเมื่อพิจารณาโดยใช้หลักการทางกฏหมาย ไม่มี "men rea" 
ดังนั้นการกระทำนี้จึงไม่เป็นอาชญากรรมอย่างไรก็ตามถ้าผู้ต้องสงสัยรู้ตัวว่าได้กระทำการเจาะระบบความปลอดภัย และรู้ว่าได้ใช้วิธีการอันซับซ้อนเพื่อทำการเจาะระบบนั้น ทำให้เกิด "mens rea" ขึ้น และ ได้เกิดการก่ออาชญากรรมขึ้น โดยใช้ข้อพิสูจน์นี้จากมุมมองของกฏหมาย คนแรกซึ่งเป็นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 
โดยทำไปโดยไม่ตั้งใจ(อาจจะเป็น hacker) และคนหลังเป็น cracker อย่างไรก็ตามบทสอบนี้เป็นบททดสอบที่ตายตัวเกินไป hacker และ cracker ล้วนแต่เป็นมนุษน์ สิ่งมีชีวิตมีความซับซ้อนเกินไปที่จะสรุปจากกฏเพียงกฏเดียว ดังนั้น จึงควรที่จะแยกความแตกต่างของแต่ละประเภทเพื่อที่จะทำให้เข้าใจถึงแรงจูงใจและวิถีชีวิตของพวกเขา 
ซึ่งจะเริ่มจาก hacker เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความคิดอ่านของ hacker คุณจะต้องรู้ก่อนว่าพวกเขาทำอะไรบ้าง จึงจำเป็นจะต้อง อธิบายถึงภาษาคอมพิวเตอร์